Friday, October 19, 2007

ลัช 7 ฉบับศิลปะฟักการเมือง



โอย รอมานาน ในที่สุดก็ได้ฤกษ์ออกอีกครั้ง
ลัชเล่มใหม่ เล่ม 7 แล้ว ถึงจะใช้เวลานานเราก็ออกนะ
ฉบับนี้เล่นเรื่องการเมืองรับเดือนตุลา เดือนแห่งการเมืองระอุสองช่วงปี

สัมภาษณ์วสันต์ สิทธิเขตต์ ศิลปินที่ยึดแนวทางศิลปะเพื่อสังคมมาอย่างยาวนาน (ศิลปาธร สาขาทัศนศิลป์ ปี 2550)
เรื่องของพร็อพาแกนดา สงคราม การเมือง
สัมภาษณ์สินธุ์สวัสดิ์ ยอดบางเตย สมาชิกแนวร่วมศิลปินแห่งประเทศไทย ผู้ทำงานศิลปะต้านการเมือง(เลว) มาตั้งแต่ตุลาคม 2516
แอนเจลา เดวิส, วินเซนต์ กัลโล ก็มากะเขาด้วย
คอลัมน์อื่นๆ ก็เต็มเพียบด้วยสาระครบครัน

Sunday, May 13, 2007

It's raining

ไม่รู้ว่าอะไรดลให้ฝนตกติดต่อกันหลายวัน
ปลวกที่อยู่ในดินก็เลยเฮโลสร้างไฮเวย์เข้าบ้าน
เลยต้องจัดการเขี่ยๆ แล้วพ่นยาเสียหน่อย
อันที่จริงมันก็ไม่ได้มีจำนวนมากมายหรอก
แต่ลองมันได้รู้ทางเข้าแล้ว
ครั้งต่อไปมันก็ยกพลได้ง่ายขึ้น
ห่วงก็แต่กองหนังสือที่อยู่บนพื้น
เพราะถ้าปลวกมันลักลอบมาทางซอกผนังก็คงมองไม่เห็น
ช่วงนี้ก็เลยต้องตรวจตราให้ถ้วนถี่
ยังไม่ถึงขั้นต้องจัดเวรยาม
แต่ว่า แถวไหนมีตัวกินมดขาย ช่วยบอกให้รู้ด้วย
จะไปซื้อมาเลี้ยง

Thursday, April 19, 2007

Gottfried Helnwein - ความหม่นงามในความโหดร้าย


“ผมเรียนรู้ศิลปะจากโดนัลด์ดั๊ก มากกว่าจากสถาบันศิลปะทุกแห่งที่ผมเคยเรียนเสียอีก” เป็นคำพูดของกอตต์ฟรีด เฮลน์ไวน์ศิลปินที่มีงานศิลปะหลากหลาย ทั้งภาพวาดภาพถ่าย ศิลปะจัดวาง ศิลปะการแสดงและเทคนิคการสร้างภาพอีกสารพัด งานศิลปะของเขาแสดงออกถึงความงามอันหม่นหมอง หดหู่ และน่ากลัว

เฮลน์ไวน์เป็นศิลปินร่วมสมัยที่สร้างงานอย่างต่อเนื่อง ช่วงแรกที่เริ่มทำงานศิลปะเขามักเขียนภาพโดยเทคนิคสีน้ำหรือไม่ก็วาดเส้นด้วยดินสอสี ต่อมาก็เริ่มถ่ายภาพและสนใจการสร้างภาพขนาดใหญ่โดยใช้สีน้ำมันและสีอะครีลิค รวมทั้งเทคนิคสื่อผสม

เฮลน์ไวน์เกิดที่กรุงเวียนนา ในปี ค.ศ. 1948 หลังจากสงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดได้สามปี ในวัยเด็กเขาพบเห็นแต่ภาพโหดร้ายทารุณ ผลพวงของสงคราม ความย่อยยับของบ้านเมือง ผู้คนพิกลพิการ แทบทุกแห่งไม่มีรอยยิ้มหรือเสียงหัวเราะ ไม่มีเสียงเพลง มีแต่เสียงร่ำไห้สลับกับความเงียบงัน งานศิลปะทุกอย่างถูกกองทัพเยอรมันทำลายพินาศ

แม้เฮลน์ไวน์จะเข้าได้เรียนที่สถาบันศิลปะในกรุงเวียนนา (ที่เดียวกับที่เคยปฏิเสธที่จะรับฮิตเลอร์เข้าเรียน) แต่เขาก็ถูกไล่ออก เนื่องจากเขียนภาพฮิตเลอร์ด้วยเลือดของตัวเองเป็นงานส่งอาจารย์

เขาได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมอเมริกันในยุค 50 จากการหลากไหลของวัฒนธรรมหลังสงครามสงบ ทั้งสินค้า ดนตรี ภาพยนตร์หรือแม้แต่การ์ตูนจากดิสนีย์แลนด์ เป็นการเปิดโลกจากด้านหม่นมืดสุดกู่ สู่อีกด้าน เฮลน์ไวน์ถึงกับกล่าวว่าเพิ่งได้พบเจอโลกจริงก็ตอนนี้

งานสำคัญๆ ที่เป็นเอกลักษณ์ของเฮลน์ไวน์คือภาพเกี่ยวกับเด็กที่ดูงดงามในความน่ากลัว เขากล่าวว่า เด็กเป็นผู้ที่ถูกกระทำได้ง่ายที่สุด ทั้งจากการล่อลวง ข่มขืน การทำร้าย ภาพเขียนและภาพถ่ายที่ดูเหมือนจริงแต่บิดเบี้ยวเหนือจริงจากความทรมาน รวมทั้งภาพถ่ายปกอัลบั้มวงแรมสไตน์ วงดนตรีเมทัลจากเยอรมัน



เฮลน์ไวน์ขณะวาดภาพ "Head of a child 2" ในปี 1998 เทคนิคสีน้ำมันและอะครีลิคบนผ้าใบ

แม้งานศิลปะของเขาจะเป็นที่ชื่นชอบของคนบางกลุ่ม แต่ก็มีคนอีกกลุ่มที่ไม่ชอบงานของเขา ในช่วงปี 1980 การแสดงงานที่กำแพงเมืองโคโลญน์ ภาพวาดเด็กขนาดใหญ่เรียงยาวกว่าร้อยเมตร ถูกมือมืดกรีดภาพทุกภาพขาดเสียหาย เฮลน์ไวน์ได้นำเทปกาวมาแปะทับแล้วแสดงงานต่อไปตามกำหนดเดิม และอีกครั้งกับการแสดงงานที่เยอรมันที่ภาพเขียนถูกเผาเสียหาย แต่เขากลับไม่ได้ถือโกรธมากนัก กลับคิดว่าเป็นการแสดงศิลปะจัดวางอีกรูปแบบหนึ่ง

เฮลน์ไวน์ได้ร่วมงานกับคนสำคัญมากมายในแทบทุกวงการทั้งแอนดี้ วอร์ฮอล, คีธ ฮาร์ลิ่ง, มิค แจ็คเกอร์, ชาร์ลส์ บูคาวสกี้, วิลเลียม เบอร์โรว์, มาริลีน แมนสัน, ฌอน เพนน์

นอกจากนั้นเขายังออกแบบและจัดแสงเวทีละคร ออกแบบเครื่องแต่งกายโอเปร่าซึ่งได้รับรางวัลด้านการละครหลายรางวัล

ในปี 1990 เฮลน์ไวน์เริ่มนำคอมพิวเตอร์มาสร้างงาน ทั้งใช้เทคนิคผสมกับสีน้ำมัน เขาบอกว่าเขาคำนึงถึงผลที่ออกมามากกว่าจะสนใจในเทคนิคการสร้างงาน เขาจะสร้างงานที่ตอบสนองอารมณ์คนดูงานมากกว่าที่จะเน้นการทำงาน เหมือนกับนักมายากล หากคนดูมุ่งให้ความสำคัญกับวิธีการเล่น มันก็ดูไม่เป็นมายากล

หลังจากอาศัยที่เยอรมันนานกว่าสิบปี เฮลน์ไวน์เริ่มมองหาที่อยู่ใหม่ ในที่สุดเขาก็ย้ายครอบครัวเข้าไปอยู่ในไอร์แลนด์ ช่วงแรกเขาอาศัยอยู่ในดับลิน เมืองหลวงของไอร์แลนด์ แต่หลังจากตระเวนแสดงงานที่สหรัฐอเมริกา เมื่อกลับมาที่ไอร์แลนด์อีกครั้ง เขาจึงย้ายไปอยู่ที่เมืองทิปเพอรารี่ ในบ้านทรงปราสาทหลังใหญ่ที่มีบริเวณกว้างขวางกว่าเดิม ซึ่งเขาใช้เป็นทั้งที่อาศัยและสตูดิโอทำงาน.

Wednesday, April 18, 2007

hot hot heat

This day, I found myself in inferno.
Tomorrow I will be in hell.

Monday, April 16, 2007

Band of Horses

อากาศร้อนกลางสงกรานต์ ไม่มีกะจิตกะใจทำงานเลย วันก่อนติดป้ายไฟไฮเนเก้นหน้าบ้าน เอาไว้สร้างบรรยากาศตั้งวงสุรา
ยามเช้าในวันเงียบสงบ เพราะผู้คนรอบข้างหลบสงกรานต์ไปที่อื่นกันหมด มีเวลาว่างระหว่างดื่มกาแฟ นั่งอ่าน ไร้เลือด (Senza sanque) งานเขียนของอเลซซานโดร บาริกโก ใช้เวลาเพียงไม่ถึงชั่วโมงก็อ่านจบ ทำไมถึงไม่รู้สึกอะไรกับมันก็ไม่รู้ขณะที่คนอื่นที่อ่านแล้วบอกว่ามันดี

อ่านหนังสือเล่มนั้นจบแล้วรู้สึกหนืดๆ เลยนึกถึงเพลงหนืดๆ ของวงนี้ วง Band of Horses วงอเมริกันอินดี้ จากซีแอตเทิ่ล สังกัดค่าย Sup pop



ลองฟัง 3 เพลงนี้ เพื่อสร้างความหนืดด้วยกัน โลกมันน่ามอดไหม้ให้เป็นจุณนัก
วง Band of Horses
- Funeral
- For Wicked Gil
- I Lost My Dingle On The Red Line

Monday, March 26, 2007

LUSh Cartoon in LUSh volume 3



ความจริงแล้ว การ์ตูนในหนังสือเป็นขาวดำ แต่ผมลองทำเป็นสีดู

ใบสมัครสมาชิกหนังสือลัช



คลิกเพื่อดาวน์โหลด หรือจะคัดลอกแบบฟอร์มก็ได้นะ

Saturday, March 24, 2007

ลัช เล่ม 6 ออกแล้ว ปลายมีนาคมนี้แน่นอน



รอนานเหมือนเคย แต่ว่าคุ้มค่าน่าอ่าน
ลัช เล่ม 6 / ฉบับดีเจ ดนตรี indie ฟุตบอล
สัมภาษณ์ 3 ดีเจสาวจากคลื่น the radio 99.5
สกู๊ปอินดี้, สนามฟุตบอลคลาสสิค, Nate Williams modern illustrator, มองหนัง factotum, กระดิกหู Thom Yorke กับอัลบั้ม The Eraser
ฟังรายการวิทยุคลื่น the radio ที่นี่
The Radio

อยากอ่านแบบออนไลน์ รออีกสักนิด

Monday, January 01, 2007

m. ward - post war



เพลงของชายหนุ่มร่างผอมจากปอร์ตแลนด์ ทั้งร้อง แต่งเพลง และเหมาเล่นดนตรีเอง กับซาวนด์ดนตรีที่นวลละมุนผิดแผกจากร็อกอเมริกันทั่วไป ลองฟัง go to home เพลงจากอัลบั้ม Post War นี้ที่
M.Ward - Go To Home

พ่อ หมูของเขาและตัวฉัน


สำหรับใครที่เคยมองวรรณกรรมเยอรมันว่าหนัก อ่านยาก ไม่ว่าจะเป็นงานของกึนเทอร์ กราส หรือแพทริค ซึคคึน อันเป็นงานสมัยใหม่ที่ได้รับการแปลเป็นภาษาไทย และได้รับความสนใจในหมู่นักอ่านประเภทฮาร์ดคอร์ อาจเปลี่ยนความคิดเมื่อได้อ่าน พ่อ หมูของเขาและตัวฉัน คือวรรณกรรมเยอรมันร่วมสมัยที่อ่านง่ายและน่าสนใจ เรื่องราวแต่ละบทเป็นเหมือนบันทึกช่วงชีวิตของผู้เขียน คือ ยานา แชร์เรอร์ มีแง่มุมแปลกๆ ที่บางครั้งเรามองข้ามไป ไม่ว่าจะเป็นการพูดถึงภาพถ่ายขาวดำ กับสีผิวของคนที่เธอเกี่ยวข้องด้วย การเช่าหมูมาเลี้ยง การได้รับของขวัญวันเกิดเป็นนักเขียนตัวเป็นๆ อย่างกึนเทอร์ กราส
ยานาเล่าเรื่องด้วยน้ำเสียงเรียบง่าย ดูเหมือนเป็นความเรียงของเด็ก แต่เธอหยิบเอาศิลปะการเล่าเรื่องที่มีลูกล่อลูกชนเข้ามาแต้มแตะทีละจุ เหมือนกับการระบายสีด้วยรูปทรงง่ายๆที่ละจุดจนกลายเป็นภาพเขียนผืนใหญ่

Wednesday, December 13, 2006

9 songs บรรเลงเพลงร็อค ระเริงเพลงรัก



บางคนอาจมองว่านี่คือหนังโป๊

ตลอดหนึ่งชั่วโมงมีแต่ฉากร่วมรักที่ไม่มีเซ็นเซอร์ สลับกับการแสดงสดของวงดนตรีหลายวงอาทิ Black Rebel Motorcycle Club, Franz Ferdinand, The Von Blondies, The Dandy Warhols, Elbow ฯลฯ
ซึ่งเครดิตวงดนตรีบนโปสเตอร์ ตัวใหญ่กว่านักแสดงเสียอีก

หนังเรื่องล่าสุดของผู้กำกับไฟแรง ไมเคิล วินเทอร์บอตทอม ถ่ายทำโดยใช้กล้อง ดิจิตอล ที่มีทั้งคำชมและคำด่า เป็นเรื่องของแมต (Kieran OžBrien) นักวิจัยหนุ่มอังกฤษวัยสามสิบปีกว่า กับลิซ่า (Margo Stilley) สาวนักศึกษาอเมริกันที่เรียนที่ลอนดอน

ทั้งคู่พบกันในคอนเสิร์ตของ Black Rebel Motorcycle Club หลังจากกลับไปที่ห้องของชายหนุ่ม บทรักระหว่างทั้งคู่ก็เริ่มต้น
หนังแทบไม่มีบท ใช้ความสามารถของนักแสดงในการคิดบทสนทนากันสดๆ และร่วมรักกันจริงๆ สดๆ เช่นกัน
แต่ถึงอย่างไร นี่ก็ไม่ใช่หนังโป๊เปลือยวาบหวาม จะว่าเพราะนางเอกหุ่นผอมบางและหน้าอกเล็ก หรือพระเอกไม่หล่อก็ไม่ใช่
เพราะนี่เป็นการแสดงแบบเปิดหมดทุกสัดส่วนจนเลยขีดจำกัดของความโป๊ไป
การไปดูดนตรีร็อคเป็นการปลดปล่อยความสนุก จากนั้นก็กลับไปขลุกอยู่บนเตียงนอนเพื่อปลดเปลื้องความใคร่
ทุกอย่างในหนังเรื่องนี้ธรรมดาทั้งนั้น ตั้งแต่ภาพการแสดงสดที่ธรรมดามาก ทั้งถ่ายระยะไกลกล้องส่ายไปมาและเบลอ แสงธรรมชาติ ในห้องที่ดูสมจริง บุคลิกหน้าตาของ ตัวเอกทั้งสองคน และบทรักที่แสนจะธรรมดา ค่อยเป็นค่อยไป

ภาพที่แกว่งกลับไปกลับมาระหว่างดนตรีร็อคกับการร่วมรักตลอดทั้งเรื่อง ดูแล้วเหมือนจะไม่มีอะไร
กระทั่งเมื่อทั้งคู่ต้องแยกย้ายกัน ลิซ่าต้องเดินทาง ส่วนแมตก็กลับไปทำงานวิจัยน้ำแข็งที่ทุ่งน้ำแข็งต่อไป ภาพภูเขาน้ำแข็งขาวโพลน เวิ้งว้าง มีเพียงแมตเดินย่ำเพียงลำพัง หนังปิดเรื่องด้วยคอนเสิร์ตของ Black Rebel Motorcycle
Club อีกครั้ง คอนเสิร์ตจบคนดูแยกย้ายและหนังจบพร้อมกับภาพที่พร่าเลือน

ความเปลี่ยวเหงาเป็นเรื่องของปัจเจก แต่หากมันซึมซาบถึงอีกคนได้
เมื่อนั้นความเหงาก็จะเพิ่มขึ้นทบทวี

แล้วจะหาหนังเรื่องนี้ดูได้ที่ไหน : ไม่มีทางที่หนังจะได้ฉายตามโรง ฉะนั้นหาซื้อแผ่นดูกันดีกว่า.

The Magic Numbers ย้อนยุคอย่างมีกึ๋น

The Magic Numbers : The Magic Numbers
Label EMI Records


เดี๋ยวนี้อะไรก็ย้อนยุค ทั้งเพลง หนัง การแต่งตัวและความคิดของนักการเมือง โดยเฉพาะกับเพลง ส่วนใหญ่ถ้าไม่กลับไปสู่ความเรียบง่าย ก็กลับไปหยิบของเหลือทิ้งจากเมื่อยี่สิบสามสิบปีที่แล้วมาใช้งาน ที่เห็นได้ชัดก็พวกร็อคย้อนยุคทั้งหลาย
ไม่ว่าจะเป็นร็อคแอนด์โรลยุคเจ็ดศูนย์ หรือพ็อพร็อคยุคแปดศูนย์ ใครที่ไม่แน่จริงก็กลายเป็นศพ ให้เพื่อนรุ่นเดียวกันย่ำเหยียบเล่น

ครั้นได้ฟัง The Magic Numbers แล้ว บอก ได้ว่านี่อาจไม่ใช่อัลบั้มพ็อพที่ดีที่สุดในปี 2548 อย่างที่ใครๆ ยกย่อง ทว่า เดอะเมจิก นัมเบอร์ส หยิบเอาวัตถุดิบง่ายๆ มาสอดร้อยกันได้อย่างลงตัว สิ่งหนึ่งที่เห็นได้ชัดคือความไพเราะแบบเรียบง่าย

ถึงฟังดูไม่หวือหวานัก ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า เสน่ห์ของเดอะเมจิก นัมเบอร์ส น่าจะอยู่ที่เสียงร้องของโรเมโอ สโตดาร์ตและเสียงประสานหวานใสจากอีกสองสาว กับเครื่องดนตรีไม่กี่ชิ้นแต่เรียบเรียงดนตรีได้เหมาะเจาะ

เดอะ เมจิก นัมเบอร์ส เกิดขึ้นด้วยความคิดของโรเมโอ สโตดาร์ตกับน้องสาวซึ่งหุ่นท้วมไม่ด้อยไปกว่ากัน ทั้งคู่ใฝ่ฝันจะตั้งวงดนตรี แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง กระทั่งไปเจอกับคู่พี่น้องอีกคู่หนึ่งเข้าให้ จากนั้นทั้งสี่คนจึงเริ่มฟอร์มวงดนตรีขึ้น โรเมโอ ซึ่งเขียนเพลงทั้งหมดในอัลบั้ม รับหน้าที่ร้องนำ เล่นกีตาร์และเปียโน ส่วนน้องสาวของเขามิเชล เล่นเบสและคีย์บอร์ด โดยมีฌอน แกนนอน ตีกลอง และน้องสาวของฌอน แองเจล่า เล่นเพอร์คัสชั่นและเมโลดิก้า

ทุกเพลงมีกลิ่นอายของดนตรีย้อนยุค ซาวนด์ของดนตรีร็อค พ็อพ คันทรี โซล กระทั่งเพลง บับเบิ้ลกัม แบบที่ฟังครั้งเดียวฮิตแล้วเลิกกัน เหมือนชิ้นส่วนกระดาษที่ถูกฉีกโปรยลอยเกลื่อนกลาด แต่เดอะเมจิกฯกลับจับแต่ละชิ้นมาเรียงต่อกลับเข้าได้เหมือนเดิม ถึงแม้รอยร่องไม่เนียนสนิทก็ตามที

นี่คืออัลบั้มที่จะพาเราย้อนกลับไปดูพ่อแม่ผู้ปกครองนั่งเหนียมอายจีบกันริมทะเล ได้อย่างแจ่มชัด
กว่าฟังเพลงย้อนยุคของวงไหนๆ.

อัลเบิร์ต ฉันรักคุณ

ลูอี้นั่งเมาอยู่ในร้านเร้ดพีค็อค บาร์เทนเดอร์ยื่นแก้วเหล้าให้แล้วพูดว่า “ในเมืองนี้มีคนที่บ้าๆ เหมือนคุณ อยู่คนหนึ่ง” “จริงรึ?” ลูอี้ถาม “จริงสิครับ” “ตอนนี้เธอก็อยู่ที่นี่ด้วย” บาร์เทนเดอร์พูดต่อ “จริงรึ?” ลูอี้ถามอีก “เธอนั่งอยู่นั่น สวมชุดสีฟ้า รูปร่างเธอดีนะครับ แต่ไม่มีใครนั่งใกล้เธอเพราะว่าเธอเป็น บ้า” “จริงรึ?” ลูอี้พูด
ลูอี้หยิบแก้วเหล้าเดินไปนั่งใกล้เธอ “หวัดดี” ลูอี้เริ่ม “หวัดดี” เธอพูด ทั้งคู่นั่งข้างกันโดย ไม่พูดอะไรต่อ
ไมร่า (ชื่อของเธอ) ลุกขึ้นเดินไปหลังบาร์โดยไม่บอกกล่าว เธอถือขวดเหล้าเดินกลับออกมา ชูขวดทำท่าจะขว้างใส่กระจกหลังเคาน์เตอร์ ลูอี้คว้าแขนเธอเอาไว้ “อย่า อย่า อย่า, ที่รัก” หลังจากนั้น บาร์เทนเดอร์แนะให้เธอกลับบ้าน เมื่อเธอกลับ ลูอี้กลับออกไปกับเธอด้วย
ไมร่าและลูอี้หยิบขวดเหล้าที่เหลือค่อนขวดติดมือไป พวกเขาขึ้นรถประจำทางไปบ้านลูอี้, อพาร์ตเม้นต์เดอะเดลซี่อาร์ม เมื่อขึ้นรถได้ ไมร่าถอดรองเท้าข้างหนึ่ง (ส้นสูง) พยายามเอารองเท้าฟาด หัวคนขับรถ ลูอี้เหนี่ยวตัวไมร่าเอาไว้ด้วยแขนข้างเดียว อีกข้างกุมขวดเหล้าไว้แน่น การกระทำนั่นส่งผล ให้พวกเขาต้องลงจากรถแล้วต้องเดินไปยังบ้านลูอี้
ทั้งคู่เข้าลิฟต์และไมร่าเริ่มกดปุ่มมั่วไปหมด ลิฟต์เลื่อนขึ้น เลื่อนลง เลื่อนขึ้นแล้วหยุด เธอถามลูอี้ “คุณอยู่ชั้นไหน” ลูอี้ตอบ “ชั้นสี่ อพาร์ตเม้นต์หมายเลขสี่”
ไมร่ายังคงกดปุ่มสะเปะสะปะขณะที่ลิฟต์เลื่อนขึ้นลง “ฟังนะ” เธอว่า “เราเล่นแบบนี้กันนาน แล้ว ฉันอยากฉี่น่ะ” “ได้สิ” ลูอี้พูด “เรามาตกลงกัน คุณช่วยผมกดลิฟต์แล้ว ผมก็ให้คุณฉี่ได้”
“ได้” เธอพูดแล้วดึงกางเกงในลง จากนั้นนั่งยองๆ ปล่อยน้ำเป็นทาง เธอมองน้ำไหลผ่านพื้น ลิฟต์ ลูอี้กดปุ่มเลขสี่และลิฟต์เลื่อนขึ้น พอดีกับไมร่าฉี่เสร็จและดึงกางเกงในขึ้นสวมพร้อมจะเดินออก จากลิฟต์
พวกเขาเดินเข้าห้องลูอี้ ไมร่าเปิดขวดเหล้าออก ทั้งคู่นั่งห่างกันราวสิบฟุต ลูอี้นั่งเก้าอี้ริมหน้าต่าง ส่วนไมร่านั่งบนเก้าอี้นวม ทั้งคู่ต่างเริ่มดื่มเหล้า
ผ่านไปสิบห้าถึงยี่สิบนาที ไมร่ามองเห็นขวดเปล่าหลายใบวางบนพื้นข้างเก้าอี้นวม เธอหยิบ มันขึ้นมา หรี่ตาเล็งแล้วขว้างใส่หัวลูอี้ เธอขว้างไม่ถูกเลย ขวดบางใบลอยออกไปนอกหน้าต่าง บางใบ กระทบผนังแตกกระจาย น่าพิศวงที่ขวดบางใบกระทบผนังแล้วไม่แตก ไมร่าหยิบขว้างใส่เขาอีกครั้ง กระทั่งขวดหมด
ลูอี้ปีนออกหน้าต่างข้ามไปยังหลังคาด้านหลัง เขาเดินเก็บขวดถือจนเต็มมือก่อนปีนกลับเข้า มาเอาขวดให้ไมร่า เขาวางขวดไว้ข้างเท้าเธอ จากนั้นกลับไปนั่งริมหน้าต่าง รินเหล้าดื่ม เธอขว้างขวดใส่ เขาอีกครั้ง เขาดื่มแล้วดื่มอีกกระทั่งจำอะไรไม่ได้...

ในตอนเช้า ไมร่าตื่นนอนก่อน เธอลุกจากเตียงไปชงกาแฟให้ลูอี้ “เอาล่ะ” เธอบอกเขา “ฉันอยากไปหาเพื่อนฉัน, อัลเบิร์ต เขาเป็นคนที่เยี่ยมยอดมากเลยนะ”
ลูอี้ดื่มกาแฟหมด แล้วทั้งคู่ก็ร่วมรักกันอย่างดูดดื่ม ลูอี้มีหูดเม็ดใหญ่ที่เหนือตาข้างซ้ายด้วย เขาลุกจากเตียงไปสวมเสื้อผ้า “โอเค” เขาว่า “ไปกันได้แล้ว”
ทั้งคู่ลงลิฟต์แล้วเดินไปยังถนนอัลวาราโด จากนั้นขึ้นรถบัสไปทางเหนือ หลังจากนั่งรถได้ราว ห้านาที ไมร่าลุกขึ้นกดกริ่ง ทั้งคู่ลงรถแล้วเดินไปอีกครึ่งช่วงตึกเข้าไปในอพาร์ตเมนต์เก่าทาสีน้ำตาล เดินขึ้นบันไดไปอีกทอดหนึ่ง ถึงตรงหัวโค้งห้องโถง ไมร่าหยุดอยู่หน้าห้อง 203 เธอเคาะประตู ได้ยิน เสียงฝีเท้าเดินใกล้เข้ามา จากนั้นประตูเปิดออก “หวัดดีอัลเบิร์ต” “หวัดดีไมร่า” “อัลเบิร์ต ฉัน อยากให้คุณรู้จักลูอี้ ลูอี้นี่อัลเบิร์ต” ทั้งคู่จับมือกัน
อัลเบิร์ตมีมือสี่ข้าง อีกทั้งยังมีแขนสี่ข้างด้วย แขนสองข้างคู่บนสอดอยู่ในแขนเสื้อ ส่วนอีก สองข้างสอดออกจากรูใต้แขนเสื้อ
“เข้ามาก่อนสิ” อัลเบิร์ตบอก มือข้างหนึ่งถือแก้วเหล้า อีกข้างคีบบุหรี่ ข้างที่สามถือหนังสือพิมพ์ มือข้างที่จับมือกับลูอี้ไม่ได้ถืออะไร ไมร่าเดินเข้าครัวหยิบแก้วมายื่นให้ลูอี้พร้อมกับรินเหล้าจากขวดใน กระเป๋าถือของเธอลงไป เธอนั่งลงแล้วยกขวดเหล้าขึ้นกระดก
“คุณคิดว่ายังไง?” เธอถาม
“ถึงจะเจอเรื่องอันตราย แต่คุณผ่านมาได้และก็ยังมีชีวิตอยู่” ลูอี้พูด
“อัลเบิร์ตข่มขืนคนอ้วน” ไมร่าอธิบาย “คุณจะเห็นแขนทั้งหมดของเขาโอบรอบตัวเธอ คุณ ดูน่าทุเรศนะ, อัลเบิร์ต”
อัลเบิร์ตครวญด้วยสีหน้าหดหู่
“อัลเบิร์ตไปเมามายนอกคณะละครสัตว์ ข่มขืนผู้หญิงและก็เมาอยู่นอกคณะละครสัตว์ห่าเหวนั่น ตอนนี้เขากำลังดีขึ้น”
“จะยังไงก็เถอะ ผมทนทำตัวเข้ากับสังคมไม่ได้ ไม่มีใครต้องการผม ผมไม่อยากจะทำตัว กลมกลืนกับคนพวกนั้น ไม่มีความซื่อสัตย์ ไม่จริงใจ”
อัลเบิร์ตเดินไปโทรศัพท์ เขาถือหูโทรศัพท์ด้วยมือข้างหนึ่ง อีกข้างถือตารางแข่งม้า ข้างที่สาม คีบบุหรี่ ส่วนข้างสุดท้ายถือแก้วเหล้า
“แจ็คหรือ? เออ นี่อัลเบิร์ตนะ ฟังดีๆ ผมเอาครันชี่เมนเข้าที่หนึ่งสองครั้ง แล้วก็....”
อัลเบิร์ตวางสายไป “ผมทุกข์ทรมานทั้งกายและใจ”
“คุณไปที่สนามม้าได้ยังไง, อัลเบิร์ต?” ไมร่าถาม
“ผมมีสี่สิบเหรียญ แล้วก็จะพนันม้าตัวใหม่ ผมนึกถึงมันขึ้นมาในคืนที่ผมนอนไม่หลับ ภาพ ชัดเหมือนดูหนังสือเลยล่ะ ถ้าผมทำเฉยเสีย พวกเขาก็ไม่มาสนใจผม ที่จริงผมสามารถไปที่สนามม้าและ เล่นเดิมพันได้ แต่ว่า...”
“แต่ว่าอะไร, อัลเบิร์ต?”
“เห็นแก่พระเจ้าเถอะ...”
“คุณหมายถึงอะไร, อัลเบิร์ต?”
“มีผู้คนมองผม! ให้ตายเถอะ คุณไม่เข้าใจเหรอ?”
“ขอโทษที, อัลเบิร์ต”
“ไม่ต้องมาขอโทษหรอก ผมไม่ต้องการความเห็นใจ”
“ก็ได้ ไม่เห็นใจก็ได้”
“ผมอยากจะตบขี้ให้กระเด็นออกจากหัวคุณ จะได้ฉลาดขึ้นบ้าง”
“ผมพนันให้คุณตบขี้ออกจากหัวผมเลย ใช้มือทั้งสี่ข้างนั่นแหละ”
“อย่ากดดันผมนะ” อัลเบิร์ตว่า
เขาดื่มหมดแก้วแล้วเดินไปผสมเหล้ามาใหม่ จากนั้นเดินกลับมานั่ง ลูอี้ไม่ได้พูดอะไร และ เขาคิดว่าควรจะพูดอะไรออกมาบ้าง
“คุณน่าจะไปต่อยมวยนะ, อัลเบิร์ต มืออีกสองข้างของคุณคงน่ากลัวพิลึก”
“อย่าทำตลกน่า ไอ้ตูด”
ไมร่าเทเหล้าให้ลูอี้ พวกเขานั่งล้อมวงแต่ไม่พูดคุยกัน อยู่ๆ อัลเบิร์ตก็จ้องมา เขามองไปที่ไมร่า “เธอเอากับไอ้หมอนี่เหรอ?”
“เปล่านะ ฉันไม่ได้ทำ, อัลเบิร์ต ฉันรักคุณ คุณก็รู้นี่”
“ผมไม่รู้อะไรเลย”
“คุณรู้ว่าฉันรักคุณ, อัลเบิร์ต” ไมร่าเดินไปนั่งบนตักอัลเบิร์ต “คุณอารมณ์รุนแรง ฉันไม่ อยากสงสารคุณหรอก ฉันรักคุณ”
เธอจูบเขา
“ผมก็รักคุณที่รัก” อัลเบิร์ตพูด
“รักมากกว่าผู้หญิงคนอื่นหรือเปล่า?”
“มากกว่าผู้หญิงทุกๆ คน”
ทั้งคู่จูบกันอีกหน เป็นจูบที่รุนแรงยาวนาน สำหรับลูอี้แล้วมันเกินไป เขานั่งดื่มเหล้าอยู่พลาง เอามือลูบหูดเหนือตาข้างซ้าย พลัน, ลำไส้เขาบิดตัวโครกคราก เขาเดินเข้าส้วมนั่งปล่อยทุกข์ช้าๆ เมื่อ เขาเดินออกมา ไมร่ากับอัลเบิร์ตยังคงยืนจูบกันอยู่กลางห้อง ลูอี้นั่งลงหยิบขวดเหล้าขึ้นมาส่องดู มือ สองข้างของอัลเบิร์ตกอดตัวไมร่า ส่วนมืออีกสองข้างก็ถกกระโปรงเธอขึ้นมาถึงเอวพลางล้วงเข้าใต้กางเกงใน ตอนที่กางเกงในหล่นมาที่พื้น ลูอี้เอาขวดวางบนพื้นแล้วลุกขึ้นเดินออกไป

เขากลับไปที่ร้านเร้ดพีค็อค เข้าไปนั่งตรงที่นั่งประจำ สักพักบาร์เทนเดอร์ก็เดินมา
“ดีเลย, ลูอี้ คุณทำอะไรมาบ้าง?”
“ทำอะไรมา?”
“กับผู้หญิงคนนั้น”
“กับผู้หญิงคนนั้น?”
“คุณออกไปด้วยกันนี่ คุณได้เธอหรือเปล่า?”
“ก็ไม่เชิง...”
“แล้วมันเป็นอะไรล่ะ?”
“แล้วมันเป็นอะไรล่ะ?”
“เออสิ แล้วมันเป็นอะไรล่ะ?”
“เอาเหล้าให้ผมแก้วหนึ่ง”
บิลลี่เดินไปชงเหล้าแล้วหยิบกลับมาให้ลูอี้ ไม่มีใครพูดอะไร บิลลี่เดินไปยืนอีกด้านของบาร์ ลูอี้หยิบเหล้ามาดื่มไปครึ่งแก้ว เป็นเหล้าที่รสชาติดี เขางัดบุหรี่มาสูบ มือข้างหนึ่งคีบบุหรี่ส่วนอีกข้าง หนึ่งถือแก้วเหล้า อาทิตย์กำลังตกดิน ลำแสงส่องผ่านจากถนนเข้ามาทางประตูร้าน ไม่มีหมอกอยู่ข้าง นอกเลย มันน่าจะเป็นวันที่สดใส และมันน่าจะดีกว่าวันอื่นๆ ที่ผ่านมา.

พิมพ์ครั้งแรก LUSh เล่ม 1
แปลจากเรื่อง I Love You Albert
ชาร์ลส์ บูคาวสกี้ เขียน
อัสกัณ รามาสูร แปล

Juliet แดนซ์ที่ไม่ดาด


Juliet : Random Order
Label Virgin Records


อีสาวคนนี้เป็นใครกันนะ เห็นในมิวสิควิดีโอเพลง Avalon ก็ออกมาวิ่งยึกยือในอุโมงค์ ต่อเมื่อได้ไปสืบเสาะมาก็พบว่า เธอเคยออกซิงเกิ้ลเพลงมาแล้วหนึ่งเพลง เมื่อปี ค.ศ.2000 ตอนนั้นเพลงของเธอขึ้นอันดับ 40 ในบิลบอร์ดชาร์ต ชื่อของเธอคือ Juliet

โดยรวมเพลงในอัลบั้มนี้มีสัดส่วนของเพลงแดนซ์เจืออิเล็คโทรร็อคอยู่เกือบเต็มทั้งอัลบั้ม อาจกล่าวได้ว่าเป็นลูกผสมระหว่าง Garbage กับ Bjorg โดยมีเครื่องนุ่งห่มของ Ladytron สวมทับ

กับอัลบั้มชุดแรกของจูเลียต หรือชื่อเต็มๆ ของเธอคือ จูเลียต ริชาร์ดสัน ได้สจ๊วต ไพรซ์ มา โปรดิวซ์ให้ โดยสจ๊วตเองก็เป็นหนึ่งในสมาชิกวง Zoot Woman ซึ่งเป็นวงอิเล็คโทรแดนซ์ ในช่วงต้นยุคเก้าศูนย์

จึงไม่ใช่เรื่องเหนือความคาดหมายว่าเพลงของจูเลียต ต้องเป็นเพลงแดนซ์แน่ๆ แต่เป็นแดนซ์ที่ยังดูเหนือกว่าแดนซ์ตามเธคหลายขุม ทั้งจากลูกเล่นที่พยายามใส่เข้าไปในเพลงอย่าง AU หรือ Avalon ซิงเกิ้ลเปิดตัว

แต่ก็มีข้อด้อยคือ เธอยังหาแนวทางของตัวเองได้ไม่่ชัดเจน หลายเพลงที่ฟังแล้วอาจต้องนึกถึงวงอื่นๆ ทั้ง On the Dancefloor และ New Shoes ที่ฟังยังไงก็คล้ายการ์เบจ หรือ Waiting ที่ดันไปเหมือน Gwen Stefani เสียนี่

ส่วนเพลงที่เข้าท่า ก็เพลง Avalon, Ridethepain และ Would You Mind นั่นไง

แล้วจูเลียตมีดีตรงไหน ถ้าคุณเพิ่งโผล่จากผับดาดๆ หรือเธคดิ้นกระจาย แล้วมาเจออัลบั้มนี้เข้า โดยบังเอิญ ขอบอกว่า หยิบไปฟังเลย นี่ล่ะดูเท่เก๋ที่สุดแล้ว

Wednesday, December 06, 2006

ผู้ชายใคร่ลิฟต์



แฮร์รี่ยืนอยู่ตรงทางเชื่อมระหว่างถนนกับอพาร์ตเมนต์ รอให้ลิฟต์เลื่อนลงมา ขณะประตูลิฟต์เลื่อนเปิดเขาได้ยินเสียงผู้หญิงดังไล่หลัง "รอก่อนค่ะ" หล่อนก้าวเข้าลิฟต์ ประตูเลื่อนปิด หล่อนสวมชุดเหลือง ผมมวยไว้กลางหัว ตุ้มหูไข่มุกเทียมห้อยตรงปลายสายโซ่เงินเส้นเล็กทั้งสองข้าง ก้นหล่อนใหญ่และโครงสร้างแน่นบั๊บ หน้าอกหล่อนและเนื้อกายดูเหมือนเบียดแย่งกันระเบิดออกมานอกชุดสีเหลืองนั่น ดวงตาสีเขียวซีดจ้องตรงมายังเขา หล่อนหิ้วถุงใส่ของมีตัวหนังสือคำว่า Vons พิมพ์อยู่ข้างถุง ริมฝีปากหล่อนเปรอะป้ายด้วยลิปสติก ปากอิ่มนั้นดูยั่วตัณหา มันออกจะน่าเกลียด สีแดงสดของลิปสติกเป็นมันเลื่อม และพอแฮร์รี่โน้มตัวไปกดปุ่ม "ฉุกเฉิน"
มันได้ผล ลิฟต์หยุด แฮร์รี่เลื่อนตัวเข้าหาหล่อน ด้วยมือเดียวเขาเลิกกระโปรงหล่อนขึ้นและจับจ้องที่ขาทั้งคู่ ขาที่ดูสวยงามทั้งปลีกล้ามและนวลเนื้อ ดูเหมือนหล่อนจะกลัวจนตัวเกร็ง เขารวบตัวเธอจนถุงใส่ของหล่นลง กระป๋องผักและอาโวคาโด กระดาษชำระ ห่อเนื้อและแท่งขนมหวาน 3 แท่งหกเรี่ยรายพื้นลิฟต์ แล้วปากกับปากก็เลื่อนเข้าประกบกัน เขาควานลงต่ำและถกกระโปรงขึ้น ขณะยังดูดปากเขารูดกางเกงในออก แล้วจากนั้นโหย่งตัวขึ้น เขาโยกหล่อน กดหลังหล่อนปะทะผนังลิฟต์ แล้วก็เสร็จกิจ เขารูดซิปกางเกงขึ้น กดปุ่มชั้น 3 และรอ ยืนหันหลังให้หล่อน เมื่อประตูเปิดออก เขาก้าวออกไป ประตูเลื่อนปิดและลิฟต์เลื่อนขึ้น
แฮร์รี่เดินไปตามทางกลับห้อง เขาเสียบกุญแจและเปิดประตู โรเชลล์ภรรยาของเขากำลังทำอาหารเย็นอยู่ในครัว
"เป็นไงบ้างล่ะ" เธอถาม
"แย่เหมือนเคย" เขาเอ่ย
"อาหารเย็นจะเสร็จในสิบนาที" เธอบอกเขา
แฮร์รี่เดินเข้าห้องน้ำ ถอดเสื้อผ้าและอาบน้ำ หกปีแล้วกับงานที่ทำแต่ไม่มีเงินสักเหรียญในธนาคาร นั่นแหละสิ่งที่รั้งคุณไว้ พวกนั้นให้คุณแค่พออยู่รอดแต่มันไม่เคยให้คุณพอเพียงจนสามารถจะโบยบินหนีได้
เขาถูสบู่อย่างดี ชำระคราบไคลและยืนแช่อย่างนั้นปล่อยให้น้ำอุ่นไหลผ่านคอนำพาความเมื่อยล้าไปด้วย เช็ดตัวเสร็จแล้วเขาสวมเสื้อคลุม เดินเข้าครัวนั่งลงที่โต๊ะ โรเชลล์ยกจานออกมามีเนื้อบดก้อนและน้ำเกรวี่ เธอทำเนื้อบดก้อนและน้ำเกรวี่ได้อร่อย
"ฟังนะ" เขาพูด "บอกข่าวดีผมซักข่าวหน่อย"
"ข่าวดีรึ"
"คุณรู้นี่ว่าอะไร"
"รอบเดือนหรือ"
"ใช่"
"รอบดือนฉันขาด"
"โธ่"
"กาแฟยังไม่ได้นะ"
"คุณก็ลืมเสมอ"
"ฉันรู้ ฉันไม่รู้ว่าอะไรทำให้ฉันเป็นงั้น"
โรเชลล์นั่งลงและทั้งคู่เริ่มกินโดยไม่มีกาแฟ เนื้อบดก้อนอร่อยมาก
"แฮร์รี่" เธอพูดขึ้น "เราทำแท้งก็ได้"
"ก็ได้" เขาพูด "ถ้าอยากให้เป็นอย่างนั้น เราก็ควรทำ"
เย็นวันถัดมาเขาขึ้นลิฟต์คนเดียว ขึ้นไปถึงชั้นสามและออกจากลิฟต์ แต่แล้วก็หันกลับเข้าลิฟต์ กดปุ่มอีกครั้ง เขาลงมาถึงด้านล่างเขาเดินออกไปที่รถและนั่งรอ เขาเห็นหล่อนกำลังเดินไปยังทางเชื่อมลานจอด ครั้งนี้หล่อนไม่ได้ถือถุงใส่ของ เขาเปิดประตูรถออกไป
คราวนี้หล่อนสวมชุดแดง สั้นและรัดรูปกว่าชุดเหลืองนั้น หล่อนปล่อยผมลงมันยาวเกือบปรกหลัง หล่อนยังคงสวมตุ้มหูไข่มุกเทียมนั่นอยู่และปากหล่อนโปะลิปสติกหนากว่าก่อนอีก ขณะหล่อนก้าวเข้าลิฟต์เขาโผเข้าตามหล่อน ทั้งคู่ขึ้นลิฟต์ไป และเหมือนครั้งที่แล้วเขากดปุ่ม "ฉุกเฉิน" แล้วก็โอบคร่อมหล่อน ทาบปากกับปากแดงยั่วยวนของหล่อน หล่อนสวมเพียงถุงเท้ายาวถึงเข่า แฮร์รี่ถอดกางเกงในออก จับไอ้น้องชายยัดเข้าไป กระแทกกระทั้นกับผนังลิฟท์ทั้งสี่ด้าน ครั้งนี้นานกว่าครั้งที่แล้ว จนเสร็จ แฮร์รี่สวมกางเกงหันหลังให้หล่อนและกดปุ่มเลข 3
ตอนที่เขาเปิดประตูเข้าไป โรเชลล์กำลังร้องเพลงอยู่ เสียงเธอแย่มาก แฮร์รี่อาบน้ำรีบๆ และสวมเสื้อคลุมออกมานั่งลงที่โต๊ะ
"พระเจ้า" เขาพูด "วันนี้พวกนั้นปลดคนออก 4 คน แม้แต่จิม บรอนสัน"
"มันแย่มากๆ" โรเชลล์ครวญ
มื้อนั้นมีสเต๊กและมันฝรั่งทอด สลัดและขนมปังกระเทียม มันก็ไม่เลวนัก
"คุณรู้มั้ยว่าจิมอยู่นั่นมานานแค่ไหน"
"ไม่รู้สิ"
"5 ปี"
โรเชลล์ไม่ตอบอะไร "5 ปี" แฮร์รี่พูด "มันไม่สนใจหรอก พวกเลวนั่นมันไม่มีความเห็นใจ"
"คราวนี้ฉันไม่ลืมชงกาแฟแล้วนะ แฮร์รี่"
เธอยืนพิงและจูบเขาขณะรินกาแฟให้ "ฉันดีขึ้นนะ คุณเห็นมั้ย"
"อื้อ"
เธอนั่งลง "เมนส์เริ่มมาวันนี้"
"อะไรนะ เรื่องจริงรึ"
"ใช่ แฮร์รี่"
"เยี่ยม เยี่ยม..."
"ฉันไม่อยากมีลูกจนกว่าคุณอยากจะมี แฮร์รี่"
"โรเชลล์ เราน่าจะฉลองกันหน่อย ไวน์ดีๆซักขวด ผมจะไปซื้อมาหลังมื้อเย็น"
"ฉันหามาแล้ว แฮร์รี่"
แฮร์รี่ลุกขึ้น เดินไปรอบโต๊ะ เขายืนเยื้องหลังโรเชลล์ เอามือช้อนคางเอียงหัวเธอมาด้านหลังและจูบ "ผมรักคุณยาหยี"
แล้วทั้งคู่ก็กินข้าวมื้อเย็น เป็นมื้อเย็นที่วิเศษรวมทั้งไวน์รสเลิศด้วย
แฮร์รี่ออกจากรถขณะหล่อนเดินมาตามทาง หล่อนหยุดรอเขา และเข้าลิฟต์พร้อมกัน หล่อนสวมกระโปรงสีน้ำเงินเสื้อสีขาวมีลายดอกไม้ รองเท้าขาว ถุงเท้าขาว ผมมวย และหล่อนสูบบุหรี่เบนสันแอนด์เฮ็ดจ์ส
แฮร์รี่กดปุ่ม "ฉุกเฉิน"
"เดี๋ยวก่อนพ่อหนุ่ม"
เป็นครั้งที่สองที่แฮร์รี่ได้ยินเสียงหล่อน เสียงแหบเล็กน้อยแต่ก็ไม่ใช่เสียงที่แย่
"ไปที่ห้องฉัน"
"ได้เลย"
หล่อนกดปุ่ม 4 ลิฟต์เลื่อนขึ้นไป และพอประตูลิฟท์เปิดทั้งคู่เดินไปตามทางถึงห้อง 404 หล่อนไม่ได้ล็อคห้อง
"ห้องสวย" แฮร์รี่ชม
"ฉันชอบมัน ให้ฉันหาอะไรให้คุณดื่มมั้ย"
"เอาสิ"
หล่อนเดินเข้าครัว "ฉันชื่อนาน่า" หล่อนบอก
"ผมแฮร์รี่"
"ฉันรู้ว่าคุณเป็นใคร แต่ชื่อคุณน่ะ?"
"ตลกน่ะ" แฮร์รี่พูด
หล่อนถือเหล้ามา 2 แก้ว นั่งดื่มกันที่เก้าอี้นอน "ฉันทำงานที่ร้านโซดี้" นาน่าพูด "เป็นพนักงานหน้าเคาน์เตอร์ที่โซดี้"
"ดีนี่"
"ดีกะผีอะไรล่ะ"
"ผมหมายถึงดีที่เราอยู่ด้วยกันที่นี่"
"จริงหรือคะ"
"แน่นอน"
"งั้นไปห้องนอนกัน"
แฮร์รี่ตามหล่อนไป นาน่าดื่มหมดแก้วและวางแก้วเปล่าบนโต็ะเครื่องแป้ง หล่อนเดินเข้าห้องน้ำ เป็นห้องน้ำที่กว้างมาก หล่อนเริ่มร้องเพลงและค่อยๆถอดเสื้อผ้า นาน่าร้องเพลงได้ดีกว่าโรเชลล์ แฮร์รี่นั่งที่ขอบเตียงและดื่มหมดแก้ว นาน่าเปลือยกายออกมาจากห้องน้ำและตรงไปที่เตียง ขนบนเนินนูนดูดำกว่ากว่าผมหล่อน
"เอาละยัง?" หล่อนว่า
"โอ" แฮร์รี่ว่าพลางถอดรองเท้าและถุงเท้า แล้วถอดเสื้อ กางเกง เสื้อกล้าม กางเกงใน จากนั้นกระโจนลงข้างๆหล่อน หล่อนหันหน้ากลับมาและเขาจูบหล่อน
"ฟังนะ" เขาบอก "เราจะทำอะไรๆทั้งที่ไฟยังสว่างน่ะหรือ?"
"ได้สิ" นาน่าลุกขึ้นปิดไฟผนังและไฟหัวเตียง แฮร์รี่รู้สึกว่าเธอประกบปาก ไล้ลิ้นเข้ามาวูบเข้าออก แฮร์รี่พลิกตัวขึ้นทับหล่อน ตัวหล่อนนิ่มนุ่มมากคล้ายเป็นเตียงน้ำ เขาจูบและเลียหน้าอกหล่อน จูบปากและไซ้คอ บรรจงจูบเธออยู่ครู่หนึ่ง
"เกิดอะไรขึ้น?" หล่อนถาม
"ผมไม่รู้" เขาบอก
"มันไม่สู้ใช่มั้ย"
"ไม่รู้"
แฮร์รี่ลุกขึ้นและใส่เสื้อผ้าในความมืด นาน่าเปิดไฟที่หัวเตียงให้
"คุณเป็นอะไร? ลิฟต์วิปริต?"
"ไม่ไม่..."
"คุณทำได้เฉพาะอยู่ในลิฟต์ใช่มั้ย?"
"ไม่ใช่ คุณคนเดียวเท่านั้น จริงจริง ผมไม่รู้ว่า...มันนอกเหนือ"
"แต่ฉันเพิ่งรู้เดี๋ยวนี้" นาน่าพูด
"ผมรู้" แฮร์รี่พูดพลางดึงกางเกงขึ้น แล้วก็นั่งลงสวมถุงเท้าและรองเท้า
"ฟังนะ คุณมันเลวสิ้นดี"
"อือ?"
"เมื่อคุณพร้อม และคุณต้องการฉัน มาที่ห้องฉัน เข้าใจ๊?"
"ผมเข้าใจ"
แฮรี่สวมเสื้อผ้าเสร็จเรียบร้องแล้วยืนขึ้น
"ไม่มีการทำในลิฟท์อีกแล้ว เข้าใจ๊?"
"ผมเข้าใจ"
"ถ้าคุณเอาฉันในลิฟท์อีกครั้ง ฉันจะเรียกตำรวจ นั่นเป็นข้อตกลง"
"โอเค โอเค"
แฮร์รี่เดินออกจากห้องนอน ผ่านห้องนั่งเล่น และออกประตูไป เดินไปที่ลิฟท์ กดปุ่มรอ ประตูเลื่อนเปิดแล้วเขาเข้าไปข้างใน ลิฟท์เริ่มเลื่อนลง มีผู้หญิงหน้าตาเอเชียยืนถัดไปจากเขา หล่อนเป็นคนผมดำ สวมกระโปรงดำ เสื้อสีขาว สวมถุงน่อง เท้าเล็ก และใส่รองเท้าส้นสูง หล่อนผิวค่อนข้างคล้ำ ที่ปากมีรอยของลิฟสติกอยู่ ร่างนั้นดูเล็ก แต่ก็แฝงไว้ด้วยความมีเสน่ห์ ตาสีน้ำตาลที่ดูเศร้าลึกและโรยล้า แฮร์รี่เลื่อนตัวไปกดปุ่มฉุกเฉิน ทำให้หล่อนร้องขึ้นมา เขาตบหน้าหล่อน ล้วงผ้าเช็ดหน้าออกมาและโปะไปที่ปากหล่อน ล็อคเอวหล่อนด้วยแขนข้างหนึ่ง และหล่อนข่วนเข้าที่หน้าเขา เขาเอื้อมลงถกกระโปรงหล่อน เขากระหยิ่มในสิ่งที่เห็นตรงหน้า.
จากเรื่อง The Man Who Loved Elevators
ชาร์ลส์ บูคาวสกี้ เขียน
อาณัติ มาตรคำจันทร์ แปล
พิมพ์ครั้งแรก นิตยสารโพโม ฉบับที่ 3